มาทำความเข้าใจ การอัพเดตใหม่ ของเฟชบุ๊ค
โพสน์นี้เชื่อว่าหลายๆคน คงจะทราบดีว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เฟชบุ๊ค ทำการอัพเดตหลายๆอย่างมากมายและประสบภาวะขาดทุนสะสม จากการทำธุรกิจ ถึงขั้นอาจจะมีการปรับลดพนักงานลง ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น จะส่งผลอย่างไร ต่อธุรกิจของเรา
เฟชบุ๊คพยายามตลอดระยะเวลาหลายปีในการพัฒนา โลกเสมือนจริง เริ่มต้นโดยการ Takeover บริษัท Oculus เพื่อพัฒนาแว่นตา VR และพัฒนาหลากหลายรุ่น จนรุ่นล่าสุดพัฒนาถึงขั้นที่ ไม่จำเป็นต้องมี จอย ที่มือถือทั้งสองข้าง แต่สิ่งที่เฟชบุ๊คต้องทุ่มมากกว่านั้น คือ ระบบหลังบ้านหรือ แพลตฟอร์มที่จะมารองรับ ระบบ Meta ของตัวเฟชบุ๊คเอง ซึ่งกินทั้งทรัพยากรเครื่อง Server และทรัพยากร การบำรุงรักษา แน่นอนว่าระบบใช้เวลาพัฒนามาอย่างยาวนาน จนเมื่อปลายปีที่แล้วมีการเปิด Meta ให้พื้นที่แรกได้เข้าใช้งานคือ USA และ ล่าสุดเปิดให้ ทุกประเทศสามารถเข้าถึงได้ผ่านช่องทาง VR แต่ไม่ใช่ตัวเต็ม เป็นเหมือนตัวย่อยของระบบ ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่ระบบเต็มที่เริ่มให้คนได้เข้าใช้งานก็ ล่าสุดที่ UK และจะเริ่มทยอยเปิดในอีกหลายๆประเทศ
นอกจากนี้ 2-3 ปีก่อน FB หรือ Meta ยังได้เข้า Take Over บริษัท Startup ของไทย ที่ดำเนินกิจการที่ Silicon Villay อีกบริษัท ซึ่งบริษัทดังกล่าวพัฒนา โฆษณาในระบบ 3D หรือ VR แน่นอน ว่าเราพอจะทรายบแนวทางการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นของ FB ว่าจะพัฒนาไปทิศทางไหน หาก Meta เกิดขึ้น การที่คนทั้งโลกจะเข้าไปอยู่ในโลกเสมือนจริงก็ไม่ไกลเกินไป และระบบการโฆษณาหรือการแย่ง Feed โฆษณา ก็จะหมดไปด้วย
ตลอดระยะเวลาการพยายาม จัดกลุ่มและให้ความสำคัญกับกลุ่มก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ Meta พยายามอย่างมากในการทุ่มทรัพยากร ทั้งหมดเพื่อให้ระบบนี้ สำเร็จ แต่ก็อ่าจจะไม่ใช่ในเร็ววัน ซึ่งในระหว่าง ที่เกิดการพัฒนาแบบ เมกะโปรเจค FB ต้องบริหารจัดการ ให้ระบบการเงิน ของตัวเองให้อยู่ในระดับที่ไม่สร้างปัญหา เพราะในแต่ละเดือน เฟชบุ๊คต้องจ่ายเงินเดือนพนักงานและจ่ายค่าบำรุงรักษาระบบจำนวนมหาศาล และยังเจอวิกฤติ ผู้ใช้ไหลออก และนักโฆษณาไหลออกจากแพลตฟอร์มจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังเจอปัญหา Spam และการจำกัด Policy ของทาง Apple อีกทาง ยิ่งทำให้ระบบโฆษณาของเฟชบุ๊ค ด้อยประสิทธิภาพลดลงไปอีก
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความท้าทายอย่างมากสำหรับเฟชบุ๊คในการ นำพาบริษัทให้รอดพ้นวิกฤตินี้ไปให้ได้
สำหรับการอัพเดตในส่วน โฆษณานั้น เฟชบุ๊คพยายามในการ Rebranding เป็น Meta ทั้งหมด หากดูภาพรวมแล้ว สิ่งที่เพิ่มเติมมา จะถูกพัฒนาจาก สิ่งหลักคือ
- การทำระบบซัพพอร์ต Shopping หรือการค้าขาย E-commerce มากขึ้น
- การเอาชนะระบบปิดกั้น Policy ของ Apple และอนาคตอาจจะมี Android ตามมา
- การพัฒนาทุกส่วนเพื่อให้มีแนวทางรองรับระบบ VR ในอนาคต ภาพชัดเจนที่สุดคือ กลุ่ม หรือ คอมมูนิตี้ย่อย
- การป้องกัน การฉ้อโกง หรือโกงระบบ รวมถึงการป้องกันการแฮ็กและแสปม
สิ่งหลักๆที่เพิ่มเข้ามาตลอดช่วงการอัพเดตนี้คือ
Meta Business Suite ที่เหมือนนำระบบเมนูฟังชั่น เข้ามาครอบ Business manager อีก 1 ชั้น ซึ่งชั้นที่นำมาครอบนี้ เดิมที เครื่องมือจำพวก Creative Creator จะถูกแยกออกไป แต่หลังจากการอัพเดต เครื่องมือเหล่านี้ ถูก ควบรวมมาไว้ใน Meta Business Suite
หากเราแยกฟังชั่นการทำงานภาคส่วนต่างๆ ก็จะมีดังนี้
1. ผู้ใช้ทั่วไป facebook.com / m.facebook.com / www.facebook.com / web.facebook.com / mbasic.facebook.com
2. นักพัฒนา developer.facebook.com
3. นักการตลาดหรือผู้ซื้อโฆษณา business.facebook.com
4. ครีเอเตอร์หรือพาร์ทเนอร์ผู้ผลิตสื่อโฆษณา business.facebook.com/creatorstudio
5. นักขายหรือ Shop
ทั้งหมดทุกฟังชั่นนั้นถูกนำมารวม ในหมวดหมู่ภายใต้ Meta Business Suite และใช้ Sub Domain Business.facebook.com เป็นหลัก และอัพเดตแอพพลิเคชั่นมือถือเป็น Business Suite
ในส่วนสำหรับสายงานการตลาดที่เราๆ จำเป็นต้องทราบก็จะเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับ Meta Business Suite ซึ่งจะมีเครื่องมือการซื้อโฆษณา เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน สิ่งหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลง อีก คือ เรื่องของ เพจ ที่มีการปรับเป็น เวอชั่น เพจแบบโปรไฟล์ ที่ให้ความสำคัญสำหรับยอดไลท์ น้อยลง และการเข้าถึงที่ต่ำลงเช่นกัน นอกจากนี้ก็จะมีส่วนของ วัตถุประสงค์ การโฆษณาที่มีการปรับเปลี่ยนและจัดรูปแบบใหม่ พร้อมทั้ง แก้ไข หมวดหมู่ ฟังชั่น ของโฆษณา คอนเวอชั่น พร้อมทั้งพัฒนา ระบบแทร็คกิ้งเพิ่มเข้ามา คือ
1. Pixel ( Browser )
2. Conversion API ( Code Custom )
3. Partner Conversion API
4. Convesion API Gateway
นอกจากนั้นยังจำกัดในเรื่อง จำนวน และลำดับความสำคัญของกิจกรรม การแทร็คข้อมูลต่อเว็ปไซด์เหลือเพียง 8 กิจกรรมเท่านั้น และปรับเปลี่ยนเรื่องระยะเวลา การประมวลผลของ AI ขึ้นกับประเภทของการเลือกกิจกรรม
นอกจากนี้ ยังมีในส่วนควบคุมต่างๆที่เพิ่มเข้ามา ทั้งเรื่อง IP , Location Checker และเรื่อง Fingerprint Checker เพื่อป้องกันเรื่อง สแปมและการแฮ็กบัญชี
ในส่วนการฉ้อโกงก็ได้มีการปรับปรุงเรื่อง วงเงินบัญชี และเรื่องคุณภาพของบัญชี ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่ ปวดหัวที่สุดในวงการ ยิงแอดในปัจจุบัน จนทำให้หลายๆคน เบื่อหน่ายและโยกย้ายเปลี่ยนแพลตฟอร์ม
สรุป ได้ว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ 1-2 ปี ช่วงที่มีการปรับปรุงระบบ ต่างๆ ของเฟชบุ๊ค เพื่อถ่ายโอน เทคโนโลยีต่างๆ เราจะยังพบเจอกับปัญหา ต่างๆ เหล่านี้มากขึ้น และแน่นอน ยิ่ง บริษัทมีสภาวะ ผู้ถือหุ้น ไม่สามารถทำกำไร และเศรษฐกิจโลกตกต่ำ ย่อมทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย ดังนั้นหากหลายๆคนยังไม่ ริเริ่มในการพัฒนา ระบบหรือเว็ปไซด์ของตนเอง สำหรับการสร้างฐาน ลูกค้า ก็จะเกิดปัญหาได้ในอนาคต แม้ FB ไม่ล่ม แต่เมื่อ บรรยากาศ การดำเนินงาน การเอื้ออำนวยต่อผู้ใช้ไม่สามารถจัดการได้ ก็อาจจะส่งผลกระทบ ต่อ ธุรกิจ ของแต่ละคนได้เช่นกัน